วันพุธ, กันยายน 24, 2551

โผสุดท้าย “ครม.สมชาย” - “พ่อใหญ่จิ๋ว” รองนายกฯ “เหลิม” คุมหมอ




รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ล่าสุดการจัดทำรายชื่อคณะรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ ได้ลงตัวทุกตำแหน่งแล้ว เมื่อช่วงเย็นวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยมีรายชื่อคณะรัฐมนตรีทั้งหมด ดังนี้


นายกรัฐมนตรี
- นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

รองนายกรัฐมนตรี
- พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
- นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์
- นายโอฬาร ไชยประวัติ
- พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
- นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ
- นายสุพล ฟองงาม

กระทรวงกลาโหม
- นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงมหาดไทย
- พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่าการ
- นายประสงค์ โฆษิตานนท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ
- นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีช่วยว่าการ

กระทรวงการคลัง
- นายสุชาติ ธาดาดำรงเวช รัฐมนตรีว่าการ
- ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีช่วยว่าการ
- นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ

กระทรวงพาณิชย์
- นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการ
- นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ -
- พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ


กระทรวงคมนาคม
- นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการ
- นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีช่วยว่าการ
- นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการ
- นายสมพัฒน์ แก้ววิจิตร รัฐมนตรีช่วยว่าการ
- นายธีระชัย แสนแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการ

กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
- นายมั่น พันธโนทัย รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
- นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
- นายอุดมเดช รัตนเสถียร รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงการต่างประเทศ
- นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวยุติธรรม
- นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงสาธารณสุข
- ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการ
- นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงศึกษาธิการ
- นายศรีเมือง เจริญศิริ รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงพลังงาน
- นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงแรงงาน
- นางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงวัฒนธรรม
- นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงอุตสาหกรรม
- พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการ

แหล่งที่มา

http://www.manager.co.th/Politics

จัดทำโดย FastNews

วันพฤหัสบดี, กันยายน 18, 2551

นายกคนที่ 26 ของไทย!!!!


วันนี้ เวลา 17.29 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายร่างประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้ง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อทรงพิจารณาลงพระปรมาภิไธย และรับพระราชทานประกาศพระบรมราชโองการ เพื่ออัญเชิญไปดำเนินการต่อไป

ในโอกาสนี้ นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนติบัณฑิตไทย จากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงแรงงาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน สังกัดพรรคพลังประชาชน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญนิติบัญญัติ มีมติเห็นชอบให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 222/92 หมู่บ้านเบเวอร์รี่ฮิลล์ ย่านแจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นบ้านพักของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้มีการเตรียมความพร้อมรอรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 โดยมีเจ้าหน้าที่จากกองพิธีการ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เดินทางมาจัดเตรียมพื้นที่และโต๊ะพิธีการรับพระบรมราชโองการ

ส่วนบริเวณภายนอกมีการตั้งโต๊ะ เก้าอี้ไว้รอรับแขกที่จะมาร่วมแสดงความยินดีในช่วงเย็น โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.ทุ่งสองห้อง เตรียมกำลังรักษาความปลอดภัย

ขณะที่ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางมาตรวจความเรียบร้อย และการรักษาความปลอดภัยด้วยตัวเอง และกองกำลังเจ้าหน้าที่ทุ่งสองห้อง รวมแล้วกว่าร้อยนาย โดยจะใช้สโมสรของหมู่บ้านเป็นกองบัญชาการเจ้าหน้าที่ที่ตำรวจมาดูแลความเรียบร้อย และหลังจากนี้ จะมีการสลับสับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ตำรวจมารักษาความปลอดภัย ขณะที่นายสมชายได้แจ้งกับทางตำรวจว่า ไม่อยากให้มีการจัดกองกำลังตำรวจมารักษาความปลอดภัยมากนักรวมทั้งทหารจาก ร.1 พ.2 รอ.รักษพระองค์ จำนวนหนึ่งมาปรับภูมิทัศน์บริเวณหน้าบ้าน ซึ่งหมู่บ้านเบเวอร์รี่ฮิลล์ เป็นหมู่บ้านของตระกูลวงศ์สวัสดิ์

เมื่อเวลา 13.15 น. นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้เดินกลับถึงบ้านพัก โดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ เมื่อถูกถามถึงกระแสข่าวที่ว่าหลังจากนี้จะไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอีก โดยกล่าวแต่เพียงว่า ขอทำงานเป็นแม่บ้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วง 14.15 น.นายเฉลิม วงศ์สวัสดิ์ พี่ชายของนายสมชาย และนางสุทธิลักษณ์ ศรสำราญ น้องสาวของนายสมชาย ได้นำภาพถ่ายในอดีตที่ถ่ายร่วมกับครอบครัวมาให้สื่อมวลชนได้ชม โดยนายเฉลิมได้เปิดเผยว่า นายสมชายชอบทานอาหารใต้ โดยเฉพาะคั่วกลิ้งหมูสับ แกงเหลือง และแกงไตปลา ทางครอบครัวจึงได้สั่งอาหารใต้จากกระทรวงยุติธรรม ที่นายสมชายได้รับประทานเป็นประจำสมัยที่ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม มาต้อนรับแขกและผู้สื่อข่าวได้รับประทาน

ต่อมา เมื่อเวลา 16.00 น.นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังที่ทำการพรรคพลังประชาชน เพื่อเข้าพบนายสมชาย เพื่ออธิบายขั้นตอนในการรับพระบรมราชโองการแต่งตั้งฯโดยนายสุรชัย ได้ปฎิเสธว่า ไม่ได้มารับรายชื่อรัฐมนตรีใหม่ไปตรวจสอบคุณสมบัติ

จากนั้นในเวลา 16.30 น.นายสมชาย ได้เดินทางกลับเข้าบ้าน และเมื่อถามว่า ตื่นเต้นไหม นายสมชาย กล่าวว่า ไม่ตื่นเต้น มีแต่ความเหนื่อย ซึ่งก็เหนื่อนอย่างมีความสุข ปิติยินดี ที่ไม่เหนื่อยเพราะไม่มีใครทำให้มีความทุกข์



แหล่งที่มา http://www.manager.co.th
ผู้จัดทำ FastNews

วันจันทร์, กันยายน 15, 2551

ตร.สรุปคดี จักรภพ หมิ่นสถาบัน


ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามในความเห็นสั่งฟ้อง “จักรภพ เพ็ญแข” หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว รอให้ทาง บช.ก.นัดหมายกับเจ้าตัว ส่งให้อัยการ ระบุหมดหน้าที่ของพนักงานสอบสวนแล้ว วันนี้ (15 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก. ในฐานะรองโฆษก ตร.กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ต่อนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ขณะนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้ลงนามมีความเห็นสั่งฟ้องตามที่คณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.เป็นประธาน โดยขณะนี้ได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อทำการนัดหมายกับนายจักรภพ เพ็ญแข เพื่อประสานงานเรื่องการนัดวันและเวลา ในการส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาไปให้กับอัยการต่อไป “เมื่อสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการของอัยการแล้ว ก็ถือได้ว่าภาระหน้าที่ของพนักงานสอบสวนก็เป็นการเสร็จสิ้น ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกไม่นาน” พล.ต.ต.สุรพลกล่าว ทั้งนี้ นายจักรภพ เพ็ญแข ถูก พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน (สบ.2) สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน แจ้งความจับเมื่อวันที่ 24 มี.ค. โดย พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์เข้าพบ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล พนักงานสอบสวน (สบ.2) กลุ่มงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีต่อนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีที่ นายจักรภพแถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (เอฟทีทีซี) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 โดยมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง มีการกล่าวถึงระบบราชาธิปไตยเปรียบเทียบกับประชาธิปไตยระบบอุปถัมภ์กับสังคมไทย โดยนำแผ่นดีวีดีบันทึกการแถลงข่าวพร้อมกับเอกสารคำแปลภาษาจากอังกฤษเป็นภาษาไทยตามเนื้อหาในแผ่นดีวีดีดังกล่าวมอบให้แก่พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นมีผู้เชี่ยวชาญภาษาหลายฝ่ายได้แปล


แหล่งที่มา ผู้จัดการออนไลน์

ผู้จัดทำ FastNews

วันอาทิตย์, กันยายน 14, 2551

ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินมีผลวันนี้ สมชาย วอนยุติความขัดแย้ง




ที่กองบัญชาการกองทัพไทย เมื่อเวลา 11.15 น. วันนี้ (14 กันยายน) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมกันแถลงยกเลิกประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เมื่อวันที่ 2 กันยายนแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ นายสมชาย กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันนี้สถานการณ์ความรุนแรงได้บรรเทาลงแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกต่อไป พร้อมกันนี้นายสมชายยังได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันเพื่อยุติความรุนแรงความขัดแย้ง เราไม่มีเวลาที่จะขัดแย้งกันอีกแล้ว เพราะว่าขณะนี้ปัญหาของชาติมีอยู่อย่างมากมาย ที่ทุกฝ่ายควรร่วมกันแก้ไข ส่วนผู้ชุมนุมจะชุมนุมก็ได้แต่น่าจะเป็นพื้นที่อื่นที่ไม่ใช่ทำเนียบรัฐบาล

นายสมชาย กล่าวอีกว่า เพื่อให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ จะมีกองอำนวยการเพื่อติดตามสถานการณ์ร่วม มีทุกฝ่ายเข้ามาร่วมทำงาน เป็นหน่วยงานเฉพาะให้เกิดความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ กทม. มีผบ.ทบ. เป็นผู้อำนวยการ ประสานงานกับตำรวจ และเจ้าหน้าที่พลเรือน ส่วนผบ.ตร. เป็นผู้ดูแลสถานการณ์ตามปกติ

"สถานการณ์ในวันนี้ไม่ได้มีความรุนแรง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายดำเนินกิจกรรมใดๆ ก็ตามอยู่ในกรอบของกฎหมาย วันนี้เราไม่ควรมาแตกแยกกันอีก การรบราฆ่าฟัน ไม่มีประโยชน์กับผู้ใดทั้งสิ้น" รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี กล่าว

นายสมชาย กล่าวต่อว่า จากนี้ไปขอให้มุ่งเดินทางไปสู่ความสงบสุขเรียบร้อย ปรองดองสมานฉันท์ ตนต้องขอขอบคุณ ผบ.ทบ ผบ.ตร ที่ดูแลพี่น้องประชาชน ดับความร้อนแรงลงไปได้ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ร่วมทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย รวมทั้งผู้ชุมนุมฯ อยากให้ช่วยแก้ไขปัญหา อย่าเอาชนะโดยไม่ใช้เหตุผล

สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

จัดทำโดย:Fastnews

วันพุธ, กันยายน 10, 2551

พลังคนรุ่นใหม่ปลุกเวทีมัฆวานฯ กลับมาคึกคัก หาก พปช. จะให้ท่านหมักกลับมาอีกครั้ง
















ประมวลภาพบรรยากาศบริเวณชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่ถนนราชดำเนินนอก เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อบริเวณนี้ถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมของกลุ่มเครือข่ายเยาวชนกู้ชาติหรือ Young PAD เพื่อแสดงพลังนักศึกษาประกาศจุดยืนร่วมขับไล่รัฐบาลทรราช

นายวสันต์ วานิชย์ ผู้ประสานงานยังก์แพด (Young PAD) กล่าวภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายสมัครพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ว่า เป็นนิมิตรหมายที่ดี ทางเครือข่ายจะให้สมาชิกกลับไปเรียนตามปกติ อย่างไรก็ตาม หากพรรคพลังประชาชนสนับสนุนให้นายสมัครกลับมาเป็นนายกฯ อีก หรือให้คนในระบอบทักษิณ มาเป็นนายกฯ ทางเครือข่ายฯ ก็เตรียมพร้อมที่จะระดมพลกลับมาขับไล่ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ตลอดเวลา และอาจมีมาตรการตอบโต้ขั้นต่อไป ส่วนกิจกรรมที่จะดาวกระจายไปสถานที่ต่างๆ จะระงับไว้ก่อน แต่กิจกรรมที่เวทีสะพานมัฆวานฯ ที่มีการเสวนาทางวิชาการก็ยังคงดำเนินการต่อไป
“มาตรการหยุดเรียน 3 วัน เราต้องเลื่อนออกไปก่อนเพื่อไม่ให้เสียการเรียน แต่ยืนยันที่จะมีการชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ ต่อไป เพราะเป็นจุดศูนย์รวมของนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา จนกว่าเราจะได้การเมืองใหม่”นายวสันต์กล่าว



จัดทำโดย FastNews

แหล่งที่มา http://news.thaihealth.net
http://www.manager.co.th

วันอังคาร, กันยายน 09, 2551

“หมัก” บรรลัย! ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ชี้พ้นสภาพผู้นำ


มติศาล รธน เอกฉันท์ 9 เสียงเชือด “หมัก”พ้นเก้าอี้นายก-รมว.กห.ระบุ “รับจ้าง”เป็นพิธีกรชิมไปบ่นไป เข้าข่ายเป็น “ลูกจ้าง” แถมยังมีพฤติการณ์เสมือนเป็นหุ้นส่วนบริษัทที่ได้รับประโยชน์ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ขณะเดียวกันยังส่อพิรุธทำหลักฐานย้อนหลังหวังตบตาให้พ้นความผิด จึงให้พ้นจากตำแหน่ง พร้อมชี้ ครม.ยังสามารถรักษาการต่อไปจนกว่าจะชุดใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่

คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยในคำร้องของประธานวุฒิสภาที่ส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม อันเนื่องจากเป็นพิธีกรรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า”

ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 บัญญัติห้ามนายกฯและรัฐมนตรีเป็นลูกจ้างของบุคคลใด เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ และรัฐมนตรี เป็นไปโดยชอบ ป้องกันมิให้เกิดการกระทำที่เกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ อันจะก่อให้เกิดสถานะ การขาดจริยธรรมซึ่งยากในการตัดสินใจ ทำให้ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์สาธารณะ เมื่อผู้ดำรงตำแหน่ง คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์สาธารณะ ฐานขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่จึงขัดกันในลักษณะที่ประโยชน์ส่วนตัว จะได้มาจากการเสียไปซึ่งประโยชน์สาธารณะ

แต่ในขณะที่นายกของเราดำรงตำแหน่งอยู่นั้น ก็ยังรับค่าตอบแทนจาก บริษัทเฟซ มีเดีย จำกัดอยู่ ดังนั้นจึงเป็นการรับจ้างการทำงานตามความหมายแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 267 แล้ว เป็นการกระทำอันต้องห้ามความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร จึงสิ้นสุดลง

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว จึงเป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ แต่ด้วยความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร ที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ เป็นการสิ้นสุดลง ทำให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่เหลือ จึงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่

หลังจากนั้น ตัวแทนนักศึกษาได้ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยว่า ถ้า ส.ส.พรรคพลังประชาชนยังลงมติเลือกนายสมัครกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง ทางกลุ่มนิสิตนักศึกษาก็จะยังปักหลักชุมนุมขับไล่อยู่ที่นี่ต่อไป หลังจากนั้นได้มีมีการเปิดวีดีโอเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมาก

ด้านพรรคพลังประชาชน (พปช.) กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ทางพรรคพลังประชาชนจะสนับสนุนให้นายสมัคร มาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เว้นแต่นายสมัครจะถอดใจ ไม่ยอมรับตำแหน่งเอง อย่างไรก็ตามทางพรรคได้เตรียมชื่อของนายกฯสำรองไว้แล้ว ซึ่งทางพรรคจะเรียกประชุมด่วน เพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว รวมถึงการเสนอชื่อนายกฯคนใหม่ คาดว่าวัน10 ก.ย.นี้ จะนำเสนอเป็นวาระด่วนเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้
จัดทำโดย : Fastnews

วันเสาร์, กันยายน 06, 2551

ส.ว.กว่า100เสนอ'สมัคร'แก้ไม่ได้ ยุบสภา


ส.ว.กว่า 100 คน ซึ่งมีส.ว.ทั้งเลือกตั้งและส.ว.สรรหา นำโดย พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา ได้เสนอทางออก 3 ข้อให้กับรัฐบาลถึงกรณีเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า เชื่อวันนี้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้นในสังคมจนก่อให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งวันนี้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตกว่า 100 คนแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ หากสถานการณ์ยืดเยื้อและยาวนานก็จะยิ่งทำให้เยียวยายากขึ้น ดังนั้น ส.ว.ส่วนใหญ่จึงได้หารือถึงสถานการณ์ดังกล่าวและปรารถนาให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทราบจุดยืน ดังนั้น พวกเราจึงขอเรียกร้อง 3 ข้อ คือ

1.ขอให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลเร่งรัดแก้วิกฤตการณ์ทางการเมืองด้วยสันติวิธี ด้วยการเข้าไปเจรจากับทุกฝ่ายเพื่อให้ยุติปัญหาที่เกิดขึ้น โดยขอให้รีบเร่งทำในระยะเวลาที่สั้นที่สุด

2.หากไม่สามารถยุติปัญหาด้วยการเจรจาได้ขอให้นายกฯเลือกใช้หนทางแก้ไขตามระบอบประชาธิปไตยคือการคืนอำนาจให้กับประชาชนและให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะไม่มีใครแพ้และชนะ

3.เมื่อนายกฯดำเนินการแล้วก็ขอให้ประชาชนทุกคนยุติการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและยุติการหยุดงานประท้วง เพื่อมาช่วยกันตรวจสอบการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมให้เกิดความโปร่งใส

ซึ่ง ส.ว.ก็จะร่วมมือกับประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างเต็มความสามารถ ขอยืนยันว่าการออกมาเรียกร้องครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง หรือต้องการกดดันกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ตระหนักถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองที่จะได้รับผลกระทบที่จะตามมาและเราก็ไม่ได้ฝักฝ่ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ต้องการให้บ้านเมืองพัฒนาไปได้

เมื่อถามว่าจะมีการล่ารายชื่อส.ว.เพื่อเสนอไปยังรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรหรือไม่ พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า เราจะรับฟังความเห็น แต่เรายังไม่ได้ดำเนินการอะไรอย่างเป็นทางการ ซึ่งข้อเสนอของเราไม่ได้คาดหวังว่านายกฯ หรือกลุ่มพันธมิตรจะต้องฟัง แต่ทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานของความหวังดี ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรและรัฐบาลเองก็มีความหวังดีต่อประเทศชาติเช่นเดียวกัน เพียงแต่ยังหาจุดที่ตรงกันไม่ได้

ดังนั้นไม่ควรยึดติดอดีตหรือมองว่าใครถูกใครผิด ไม่เช่นนั้นเราก็หาทางออกไม่ได้ และเชื่อว่านายสมัครก็คิดไม่ต่างกับพวกตน แต่คงต้องรอเวลาที่ดำเนินการ

ทั้งนี้ หากแก้ไขปัญหาช้าก็ยิ่งจะเกิดปัญหามากกว่านี้ เพราะเราเป็นห่วงว่าจะมีคนมาสร้างสถานการณ์ เช่นขณะนี้ก็มีหลายมือที่เข้ามาก่อนเหตุ อย่างกรณียิง นักศึกษารามฯ ซึ่งในหลายประเทศนายกฯ เลือกที่จะลาออกเพราะเขาทำงานไม่ได้ และเขาก็ไม่ได้ผูกมัดว่าคนที่เลือกเขาเข้ามาจะมากหรือน้อย แต่เมื่อทำงานไม่ได้เขาก็พิจารณาลาออก เพราะในฐานะผู้นำประเทศหากทำงานไม่ได้ก็ควรที่จะเสียสละ


จัดทำโดย FastNews
แหล่งที่มา :http://www.rssthai.com

เลขที่111เปิดเกมสู้พันธมิตร ทำจรยุทธ์ชนบทล้อมเมือง


นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย หนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กล่าวว่า ทางออกของวิกฤติ คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต้องออกจากทำเนียบรัฐบาล ไปชุมนุมที่อื่นโดยสงบ และให้รัฐบาลกลับเข้าไปทำงาน เมื่อมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ให้ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิด แม้ว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังคงชุมนุมต่อ เพื่อไม่ให้พรรคการเมืองอื่น รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล



"มีการยื่นเงื่อนไขเลยเถิด ใช้การเมืองใหม่ 70 : 30 ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะยุบสภา หรือลาออก ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ปัญหาขณะนี้จะนำสู่ความแตกแยกรุนแรงไม่รู้จบสิ้น จากคนที่เป็นเด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ไม่แน่ว่าจะแก้ปัญหาได้ ถือเป็นความล้าหลังที่สุดของสังคม แต่แกนนำที่นำสู่ความล้าหลัง กลับได้รับการยกยกให้เป็นปัญญาชน" นายจาตุรนต์ กล่าว



นายจาตุรนต์ กล่าวต่อกรณีรัฐบาลเตรียมทำประชามติ ว่ายังไม่ใช่ทางออกโดยตรง การที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุว่าให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีลาออก จึงจะยอมเจรจา ไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหา เพราะจะเป็นการยอมรับการบังคับขู่เข็ญของผู้ทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน จะต้องให้กำลังใจ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการ กองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) ในการแก้ไขปัญหาตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน



"ถ้าผู้บัญชาการทหารบกพยายามอย่างจริงจังมากกว่านี้ จะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ บทบาทครั้งนี้จะถือเป็นการทดสอบครั้งสำคัญของกองทัพไทยที่จะเข้าร่วมแก้ปัญหาโดยไม่ยึดอำนาจ และผมไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพฯ เพราะถือเป็นแนวทางที่ให้ทหารเข้าช่วยแก้ปัญหา ทหารจะอ้างไม่ได้ว่าไม่มีบทบาทร่วมแก้ปัญหา จึงทำให้เกิดการปฏิวัติ" นายจาตุรนต์ กล่าว



ด้าน นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกพรรคพลังประชาชน เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในการประชุม ครม.สัญจรที่ จ.อุดรธานี คงจะมีคนที่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีไปให้กำลังใจประมาณ 40,000-50,000 คน

จัดทำโดย FastNews


แหล่งที่มา :http://www.rssthai.com

สมัครประกาศสู้ต่อ ไม่ลาออก

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แถลงผ่านสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นธรรมดาแท้ๆ จากเรื่องรัฐธรรมนูญ มาถึงเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร มาตรา 63 ต้องอดทนมาถึง 90วัน เป่านกหวีด ไม่อยากให้เกิดการปะทะ พันธมิตร ยึด เอ็นบีที กระทรวงการคลัง จนยึดทำเนียบรัฐบาล แล้วประกาศชัยชนะ ใส่เสื้อสีเหลือเหมือนสถาบันจะถูกทำลาย คนอื่นไม่จงรักภักดีหรือ เอาเรื่องนี้มาตั้งแล้วกล่าวหารัฐบาลว่าทุจริต กลุ่มนี้ทำให้เกิดการปฏิวัติมาแล้ว แล้วมาเลือกตั้ง 236 ธันวาคม 2550 ได้ประชาธิปไตยกลับคืน ทำงานมาได้ 7 เดือน "นายสมัคร กล่าวว่า การชุมนุมต้องการทำให้นุ่มนวล ไปขอบังคับคดี แล้วเกิดการปะทะกัน สุดท้ายผมต้องกลายเป็นเหยื่อ แล้วบอกว่ารัฐบาลใช้ความรุนแรง จริงๆแล้วรัฐบาลสั่งถอย แล้วเป็นข่าวแพร่กระจายกัน การที่ม็อบปะทะกัน ก็มีการสั่งสอบสวน ในที่สุดก็ต้องสั่งทหารออกมาช่วย นั่งประชุม ผมไม่ได้เกี่ยวข้อง มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน มีการป้องกัน คนที่เดือดร้อนต่อไป ก็เป็นคณะทหาร ศาลก็เอาไม่อยู่ รัฐบาลเป็นประชาธิปไตย ไม่มีใครชี้หน้าให้ออก สภาก็เอาไม่อยู่"จนทหารต้องออกมาจัดการ ทหารบอกว่ากำแพงต้องมีประตู ศาลก็โดน สภาก็โดน ทหารก็โดน"นายสมัคร กล่าวว่าประกาศ พรก.ฉุกเฉิน คนยังมีการทำงานปรกติ มาวันนี้ขอขอบคุณทุกส่วนที่ทำน้าที่ แล้วข่าวก้ออกกระจาย สถานการณ์เป็นสงครามข่าว ผู้คนไม่สามารถรองรับได้เลยไปยึดทำเนียบ ทำไมไม่รักษารัฐธรรมนูญ ผมได้ทำอะไรผิด บ้านเมืองที่ไม่ได้มีกฏหมายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน นักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่มาร่วมบนเวทีก็สนุกกันใหญ่ แต่มีการเรียกร้องให้นายกฯลาออก แล้วบ้านเมืองเป็นอย่างไร " วันก่อนไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วข่าวแพร่ว่าผมลาออก และเมื่อเตช บุนนาค รมว.ต่างประเทศ ลาออกวันนี้ข่าวแพร่ว่าผมลาออก มีการคิดกันไปเอง ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่บ้านเมืองมีกกกติกา คนทั้งโลกเขาดูแลอยู่ "ถ้าผมลาออกประเทศชาติจะเป็นอย้างไร จะใช้ระบบแต่งตั้ง 70 เลือกตั้ง 30 แล้วจุดจบของประเทศจะเป็นอย่างไร ทำไม่รัฐบาลหนึ่งเข้ามาไม่ชอบ บ้านเมืองไม่ได้ผิดกั้นผิดตอน "ผมไม่ปราบไม่ปราม ต้องยอมขมขื่น ผมอยู่ข้างนอกบริหารงานได้ แต่อายไปทั่วโลก"




จัดทำโดย FastNews


แหล่งที่มา http://news.thaihealth.ne

วันอังคาร, กันยายน 02, 2551

สมัคร ย้ำ ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อดับชนวน ย้ำ ไม่ประกาศเคอร์ฟิวแน่!!!

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย เมื่อเวลา 9.00 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า ผมได้สัญญาไว้แล้วว่าจะอดทนรอเรื่องนี้ เหตุที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ก็ช้ำใจพอแล้ว แต่ยังเกิดเหตุปะทะเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เป็นเหตุที่ตนไม่คาดคิดไว้ เมื่อได้รับรายงานก็ออกมา ก็ยังไม่ทันได้นอน ขอยืนยันว่าเรื่องนี้จะมีการสอบสวนอย่างถี่ถ้วน

"ผมเลือกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ซึ่งเป็นวิธีการเบาที่สุด และเป็นการทำตามกฎหมาย โดยให้ตำรวจและทหารสามารถแก้ไขปัญหาได้ เราทำเพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อบ้านเมือง ใครจะมีปัญหาอย่างไรผมไม่สน ผมได้แต่วิงวอนว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของบ้านเมือง อย่าเอาเรื่องความชิงชังในตัวผมมาเกี่ยว ผมจะเก็บความขมขื่นไว้ในใจของผม" นายสมัคร กล่าว

นายสมัคร กล่าวว่า ผู้ที่สร้างปัญหาให้กับประเทศกลับไม่มีใครออกมาต่อว่า แต่ตนกลับถูกต่อว่า ทั้งนี้ นักการเมืองพยายามแก้ไขปัญหามาตลอด แต่ตนยังสามารถอดทนได้ และได้ตัดสินประกาศอย่างรอบคอบ โดยได้ประชุมหารือนาน 2 ชั่วโมง ได้ดูข้อกฎหมายและเอกสารอย่างรอบคอบ เพื่อเพื่อดับชนวนในเรียบร้อย บ้านเมืองจะได้สงบเหมือนเดิม ทั้งนี้ การเลือกใช้กฎหมายแต่ละข้อ จะยังทำให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขตามเดิม ขอย้ำว่าจะเป็นการทำในระยะเวลาที่เร็วพอสมควร จึงขอให้ประชาชนอดทน

นายสมัคร กล่าวถึงกรณีที่มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่า ขอให้รอไม่กี่วัน จากนั้นคอยกลับมาหาเสียงเหมือนเดิม โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะช่วยดูแลเรื่องนี้

"ผมขอความเห็นใจว่า ผมมีหน้าที่ต้องรักษาความสงบ ผมอยากวิงวอนให้ประชาชนร่วมมือด้วย เชื่อว่าการปลุกระดมสร้างความปั่นป่วน คงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดนี้ ผมคิดว่าบ้านเมืองของเรา หากอยู่กันด้วยเหตุผล ก็คงสามารถอยู่ได้ ปัจจุบันพวกชอบวิจารณ์ไม่แตะคนที่สร้างความยุ่งยาก แต่กลับมาว่าคนพยายามแก้ไขปัญหา ส่วนกรณีสหภาพฯ 43 สหภาพฯ อยากถามว่า จะอะไรกันนักหนา มันเลวทรามอย่างไร ท่านคิดไหมว่า บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ใครจะมาทำหน้าที่แทน ใครจะมาเป็นรัฐบาล เรื่องมันจะไม่จบ ลาออกก็ไม่จบ เลือกตั้งใหม่ก็ไม่จบ" นายสมัคร กล่าว
นายสมัคร กล่าว่า คิดว่าจะใช้กฎหมายต่อสู้ แต่ปรากฎว่าไม่เป็นลักษณะนั้น จึงต้องมีการประกาศภาวะฉุกเฉินออกมา
เมื่อถามว่าจะมีการประกาศเคอร์ฟิวหรือไม่ นายสมัคร กล่าวว่า ไม่ประกาศเคอร์ฟิวแน่นอน

เมื่อถามว่าจะใช้เวลากี่วันในการประกาศภาวะฉุกเฉิน นายสมัคร กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำหนดแล้วแต่กรรมการเป็นคนดูแล รวมทั้งสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ด้วย

เมื่อถามว่าการเสนอข่าว นายสมัคร กล่าวว่า แล้วแต่วิจารณญาณของสื่อในการเสนอข่าว

เมื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้นนายกจะรับผิดชอบหรือไม่หลังประกาศภาวะฉุกเฉิน นายสมัคร กล่าวว่า "เป็นความรับผิดชอบของผมอยู่แล้ว ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ยืนยันว่ารับผิดชอบในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำ" เมื่อถามว่า รัฐบาลอยู่เบื้องหลัง นปก.หรือไม่ นายสมัคร กล่าวว่า จะไปอยู่ได้ยังไง แล้วที่ยึดทำเนียบใครอยู่เบื้องหลังไม่เห็นสื่ออยากรู้ ทำไมเกิดเหตุเมื่อคืนอยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง

เมื่อถามว่าในฐานะ รมว.กลาโหมจะมีการสั่งการอย่างไร นายสมัคร กล่าวว่า แม่ทัพจะรบเองต้องมีคนดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอนไม่ต้องลงมือเอง


แหล่งที่มา http://www.thaihealth.net

จัดทำโดย FastNews

วันศุกร์, สิงหาคม 29, 2551

*อำมหิตผิดมนุษย์! ตร.ตีคนแก่ สกัดห้ามเข้าสมทบพันธมิตรฯที่ทำเนียบฯ



แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นเวทีประกาศเรียกให้ผู้ชุมนุมเข้ามาในพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าพนักงานบังคับคดีเข้าปิดหมายศาล พร้อมกับนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนับร้อยนายเข้ากระจายตามประตูต่างๆ และบอกยามทุกประตูว่าถ้าไม่สามารถจะยั้งตำรวจได้ อย่าไปตีรันฟันแทง ให้ถอยออกมารวมกันที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า

แกนนำพันธมิตรฯ ยังคงผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที จัดระเบียบผู้ชุมนุม และเรียกร้องให้เข้ามาภายในทำเนียบฯ มากที่สุด อย่าอยู่กันแต่โดยรอบนอกทำเนียบฯ พร้อมทั้งบอกอีกว่า อย่าเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น เรามาต่อสู้เพื่อสถานบันที่เราเคารพและเพื่ออำนาจอธิบไตยของชาติ รวมทั้งสู้เพื่อเอาทรัพย์สินของชาติที่มันโกงกินไปกลับคืนมา เราทำหน้าที่รัฐบาล แต่รัฐบาลมันทำหน้าที่โจร เราทุกคนต้องพึ่งพาตัวเอง ไม่ต้องไปพึ่งใคร

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามที่จะแหวกเข้ามาในทำเนียบฯ พล.ต.จำลอง ขึ้นเวทีชั่วคราวฯอีกครั้ง พร้อมประกาศว่าขณะนี้เวทีพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ถูกตำรวจเข้าไปสลายแล้ว เขาสลายพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานฯ แล้ว โดยใช้แก๊สน้ำตา ตำรวจโหดเหี้ยมมาก เอาเหล็กตีเสาเต็นท์พังหมด แล้วโยนของเราทิ้งคลองหมด แม้กระทั่งโต๊ะเก้าอี้ที่ใช้ทำงาน อย่างไรก็ตาม พี่น้องไม่ต้องตกใจ เขาโหดเหี้ยมกับข้าวของ ยังไม่ได้โหดเหี้ยมกับใคร เขาคงยังรักษาวินัยของเขาที่ไม่ทำร้ายประชาชน ของเสียเสียไป เสร็จงานเมื่อไหร่ฟ้องเรียกค่าเสียหายคืนเมื่อนั้น เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำร้ายประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่งมีแต่ผู้หญิงและคนแก่ ที่บริเวณแยกลานพระบรมรูปทรงม้า ขณะที่ประชาชนเหล่านั้นเดินทางเข้ามาสมทบกับพันธมิตรฯในทำเนียบฯ แต่เจ้าหน้าที่เข้าขวางไม่ยอมให้เข้า เป็นเหตุให้มีประชาชนบาดเจ็บหลายราย

จนถึงขณะนี้ประชาชนอีกประมาณกว่า500 คนยังไม่สามารถฝ่าด่านตำรวจจากแยกพระบรมรูปทรงม้า มายังทำเนียบรัฐบาลได้ เนื่องจากกำลังตำรวจมีมากกว่า

เจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดกั้นไม่ยอมให้รถพยาบาลเข้าไปดูแลประชาชนที่บาดเจ็บจากการถูกตำรวจตีที่สะพานมัฆวานฯ

ทั้งนี้ช่างภาพเอเอสทีวี ระบุว่า ตนเห็นกับตาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ารุมตีประชาชนมือเปล่า จนกองลงไปกับพื้น และตนก็บันทึกเทปไว้ได้ทัน และเมื่อตำรวจเห็นตนถ่าย ก็รีบเข้ามาห้ามไม่ยอมให้ถ่ายภาพไว้ และเมื่อตนแสดงตัวว่าเป็นสื่อมวลชนกำลังทำหน้าที่ ตำรวจก็ยังไม่ยอมให้ถ่ายภาพ จึงเกิดการยื้อกันและตำรวจได้ใช้กระบองตีตนเอง

พันธมิตรฯประมาณ1หมื่นคน เดินทางไปล้อมกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อกดดันให้ส่งตัวคนที่ตีประชาชนจนได้รับบาดเจ็บ พร้อมให้ผู้บังคับบัญชาแสดงความรับผิดชอบ แต่เกิดปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้โยนแก๊สน้ำตาออกมาจากภายในบช.น. โดยที่ประชาชนไม่ได้เข้าไปภายในแต่อย่างใด ขณะที่ด้านนอกเจ้าหน้าที่ก็ได้ตีประชาชนด้วยกระบอง ได้รับบาดเจ็บหลายคน

แหล่งที่มา http://www.manager.co.th/Politics

จัดทำโดย FastNews

“ปลื้ม” ทำอวดรู้ แฉแผน “พันธมิตรฯ” จะทำทุกอย่างเพื่อขอนายกฯพระราชทาน



ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ "คุณปลื้ม" ห่วงความปลอดภัยของสื่อมวลชน ในการติดตามทำข่าวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ กลัวว่าแกนนำพันธมิตรฯ ไม่สามารถดูแลการ์ดของพันธมิตรฯ ได้ทั่วถึง และ เห็นด้วยกับฝ่ายพันธมิตร แต่ก็บอกว่ากลุ่มพันธมิตร ทำผิดไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

หากรัฐบาลไม่นำกฎหมายมาบังคับใช้อย่างเคร่งครัด การบริหารบ้านเมืองจะเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะกฎหมายจะหมดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วคนก็จะละเมิดกฎหมายกันได้ง่ายๆ

และยังบอกอีกว่าตัวเองสามารถเดาใจแกนนำพันธมิตรฯ ถูกแน่ ว่าจากนี้หากนายก ไม่สลายการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรฯ จะยกระดับการต่อสู้ขึ้นไปอีก คือจะเคลื่อนย้ายมวลชนออกจากทำเนียบรัฐบาลแล้วไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งจะเป็นที่ที่ รัฐบาลยอมไม่ได้แน่ อย่างไรก็ต้องสลายการชุมนุม แล้วพอถึงเวลานั้นเมื่อเกิดความรุนแรงขึ้น ทหารก็จะต้องออกมาระงับเหตุ แล้ว ดำเนินการขอนายกพระราชทาน เพื่อให้บริหารบ้านเมืองต่อไปสักระยะหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าอำนาจทางการเมือง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ หมดไปแล้วจริงๆ เมื่อนั้นจึงจะบรรลุตามจุดมุ่งหมายของกลุ่มพันธมิตรฯ

และคุณปลื้มเองก็ได้เปลี่ยนใจไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ เพราะกลัวจะสู้ผู้ว่าฯอภิรักษ์ โกษะโยธิน ไม่ได้ และทำหน้าที่ทางด้านสื่อสารมวลชนไปก่อน

แล้วตกลงว่า "คุณปลื้ม" จะอยู่ฝ่ายไหนกันแน่



แหล่งที่มา http://www.manager.co.th/Politics

จัดทำโดย :Fastnews

วันพุธ, สิงหาคม 27, 2551

ประชาชนวิตก สังคมไทยกลายเป็นเมืองเถื่อน

เอแบคโพลล์ เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน โดย 79.4% ของกลุ่มตัวอย่าง มีความกังวลว่า ความขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้ จะทำให้สังคมไทยกลายเป็นสภาพบ้านป่าเมืองเถื่อน ขณะที่ 61.3% กำลังเครียดต่อสถานการณ์การเมือง


ผลสำรวจ ยังพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 90.8% เห็นว่า ความรักความสามัคคีของคนในชาติเป็นทางออกฝ่าวิกฤตต่างๆ ของคนในชาติ และสามารถแก้ปัญหาขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ได้รองลงมา 84.6% ระบุ ให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม ขณะที่ 81.7% ต้องการให้เจรจากันด้วยสันติและ 78.8% ให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงความเสียหายต่อประเทศชาติ

ศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญทำการสำรวจเรื่อง"ทางออกฝ่าวิกฤตของประเทศไทย ในทรรศนะของสาธารณชน" กรณีศึกษาประชาชนที่ติดตามข่าวสถานการณ์การเมืองใกล้ชิดทั่วประเทศ ใน 16 จังหวัดจากกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 2,718 ตัวอย่าง รวบรวมข้อมูล ระหว่างวันที่ 26-27 ส.ค.51

การสำรวจยังพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 89.2% ยังคงเชื่อมั่นต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง แม้ประเทศจะพบกับปัญหาวิกฤตใด ๆ ก็ตาม ในขณะที่ 10.8% ไม่เชื่อมั่น

ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 56.8% ยังคงมีความหวังว่า ปัญหาขัดแย้งหรือฝันร้ายการเมืองทุกอย่างจะคลี่คลายจบลงได้ด้วยดี ส่วน 4.2% หมดความหวังต่อสถานการณ์การเมืองของประเทศ

ตั้งแต่เช้าตรู่วานนี้ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกระจายกำลังผู้ร่วมชุมนุมนับหมื่นคน ปิดล้อมประตูทางเข้าทำเนียบรัฐบาลทุกด้านพร้อมประกาศไม่ให้รัฐบาลเข้ามาประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)หรือปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ขณะเดียวกันยังได้กระจายกำลังผู้ร่วมชุมนุมไปยังสถานที่ราชการอื่นๆ เช่น สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที, กระทรวงการคลัง, กระทรวงคมนาคม, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น

ต่อมาในช่วงบ่ายวานนี้ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ นำผู้ร่วมชุมนุมนับพันคนเดินเข้าไปรวมตัวกันภายในบริเวณทำเนียบฯ

จากนั้นได้ถอนผู้ชุมนุมจากสถานที่ราชการและสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที มารวมกันที่ทำเนียบฯจนถึงขณะนี้ โดยพันธมิตรฯยืนยันเมื่อเช้านี้ว่า จะปักหลักชุมนุมอยู่ภายในบริเวณทำเนียบรัฐบาลจนกว่ารัฐบาลจะตัดสินใจลาออก

แหล่งทีมา : http://news.thaihealth.net

วันจันทร์, สิงหาคม 25, 2551

“พันธมิตรฯ” เคลื่อนทัพบุกล้อมหน่วยราชการ-ยึดเอ็นบีทีได้แล้ว


กลุ่มพันธมิตรได้เคลื่อนตัวไปตามสถานที่ต่างๆ โดยแบ่งผู้ชุมนุมออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

กลุ่ม1 ไปปิดล้อมสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที

กลุ่ม2 เดินทางไปกระทรวงคมนาคม

กลุ่ม3 เตรียมเคลื่อนตัวไปยังกระทรวงการคลัง

และกลุ่ม4 ไปล้อมหน้าทำเนียบรัฐบาลด้านถนนพิษณุโลก


ทั้งนี้กลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มแรกได้เข้ายึดสถานีโทรทัศน์ NBT ได้แล้ว


ส่วนสาเหตุ่ที่พันธมิตรฯ ต้องบุกยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีด้วย เพราะ NBT นั้นมีส่วนสำคัญในการบิดเบือนข้อมูลเพื่อปกป้องรัฐบาลและโจมตีฝ่ายตรงข้าม ไปจนถึงทำลายองค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรมของประเทศ


และที่ต้องเข้ายึดกระทรวงการคลัง และ กระทรวงคมนาคมก็เพราะ กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม นับเป็นหน่วยงานที่มีส่วนสำคัญในการใช้งบประมาณของประเทศอย่างฟุ่มเฟือนจนก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันตามมามากมาย

ล่าสุดได้บุกยึดกระทรวงการคลังได้เรียบร้อยแล้ว


ผู้จัดทำ : Fastnews

วันพุธ, สิงหาคม 20, 2551

ตร.อ้างเรื่องละเอียดอ่อน ทำคดี จักรภพ ต้องล่าช้า


โฆษก สตช. ยืนยันเรื่องจะไม่หายไปเฉยๆ เพราะเป็นที่สนใจของประชาชน แต่บอกไม่ได้การสอบสวนคดีจะเสร็จสิ้นเมื่อใด
ความคืบหน้าในการสอบสวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ของ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่ขณะนี้ถูกวิจารณ์จากบางฝ่ายว่าล่าช้า ว่า เท่าที่ทราบทาง บช.น.ได้มีการประชุมคณะกรรมการไปแล้ว เมื่อ บช.น.พิจารณาเสร็จสิ้นก็จะเสนอคณะกรรมการของ ตร.พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพราะคดีนี้ทาง ตร.เป็นผู้สั่งคดี
ตร.บอกว่าเรื่องจะไม่เงียบ แต่จะเสร็จสิ้นเมื่อใดนั้นไม่สามารถบอกได้ เพราะเป็นขั้นตอนของหน่วยงานต่างๆ ถ้าเขาพร้อมแล้วก็จะส่งข้อมูลมาที่ ตร. เรื่องของคดีบางครั้งก็บอกไม่ได้

อยากให้ลองคิดกันดูว่ามันเป็นยังไงกันแน่น่ะ คดีนี้เนี่ยะ

แหล่งที่มา http://www.giggog.com/politic


ผู้จัดทำ : Fastnews

วันอังคาร, สิงหาคม 12, 2551

“ภูวดล” อัดยับ! “แม้ว” เฉไฉป้ายสีศาล หวังกระทบชิ่งสถาบัน

ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยโดยย้ำให้เห็นถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ข้อเท็จจริง ปัญาหาสะสมที่เกิดขึ้นจากคนคนเดียว เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ การเมืองไทยได้พัฒนาในทางลบตลอดมา สังคม เศรษฐกิจ เกิดความระส่ำระส่าย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ถูกมอมเมา จากระบอบทักษิณ และที่ประเทศไทยต้องเผชิญชะตากรรมอย่างนี้ เพราะคนชั้นปกครองไม่สนใจอะไร นอกจากตัวเองและรากเหง้าของตัวเอง คนแบบนี้หรือที่จะมาปกครองประเทศ และท่านยังกล่าวอีกว่า หากการสร้างโอกาสสร้างฐานะเป็นไปด้วยความสุจริต คนในประเทศก็จะยกย่อง แต่ความร่ำรวยมั่งคั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ตั้งอยู่บนความเดือดร้อนของประเทศ ตั้งอยู่บนการฉ้อโกงฉ้อรษฎร์บังหลวงอยู่ตลอดเวลา แค่นั้นยังไม่พอ ยังเล่นลิเกหลอกประชาชนยาวนานถึง 7 ปี ประชาชนต้องทนรำเค็ญกับสิ่งที่ระบอบทักษิณได้กระทำต่อการเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้เกิดการลุกขึ้นมาสู้ของประชาชน และพันธมิตรฯ ในท้ายที่สุด และวันนี้พี่น้องประชาชนออกมาต่อต้านก็เพราะรู้ว่า ประเทศชาติกำลังทรุดโทรม ขณะเดียวกันก็ไม่รู้จะไปหวังให้รัฐบาลหรือใครมาช่วยเหลือ ประเทศนี้ถูกปิดบังซ่อนเงื่อนไปทุกจุด ประชาชนจึงต้องลุกออกมาต่อสู้เพื่อให้ได้ความถูกต้อง และเป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ แม้จะยาวนานเท่าใดก็ไม่หวั่น

http://www.manager.co.th/Politics


จัดทำโดย
นางสาว จิราวรรณ หมั่นคิด ID:5131202011 สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์
นางสาว ณัฎฐินี ธรรมวงศ์ ID:5131601057 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว อมรรัตน์ เทพวงศ์ ID:5131601209 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ณาตยา เพ็ชรรัตน์ ID:5131601072 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ฐิติมา ประสงค์ทรัพย์ ID:5131601310 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว รัชนก วัชระปิยะโสภณ ID:5131601167 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย พงศธร บวรโกศลจิต ID:5131601127 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย กฤษฏา ใจคำมา ID: 5131601234 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย กฤช จันท์แสนตอ ID : 5131601229 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ปรีชญา บุญสมบัติ ID : 5131601119 ขาวิชานิติศาสตร์

วันศุกร์, สิงหาคม 01, 2551

เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้

1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.

2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์

3.พระนาม 'ภูมิพล' ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช

5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก

6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้
1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า 'H.H Bhummibol Mahidol'หมายเลขประจำตัว 449

7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า 'แม่'

8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง

9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม

10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต

11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า'บ๊อบบี้'

12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ

13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว

14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ

15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก 'การให้' โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า 'กระป๋องคนจน' เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก 'เก็บภาษี' หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า 'ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน'

17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา

18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง

19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก 'การเล่น' สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง

20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์

21.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)

22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้

23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส

24.ทรงพระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ 'แสงเทียน' จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง

25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง 'เราสู้'

26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5

27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย

28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง 'นายอินทร์' และ 'ติโต' ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ 'พระมหาชนก' ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น'กีฬาซีเกมส์') ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510

30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน

31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ 'กังหันชัยพัฒนา' เมื่อปี 2536

32. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว

33. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง

34. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

35. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า'น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารั??แรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง

36. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท

37. หลังอภิเษกสมรส ทรง'ฮันนีมูน'ที่หัวหิน

38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน

39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น

41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา

42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม

44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง

45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ

46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ

47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน

48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน

49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน

50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้

51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด

52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า 'ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ

53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา

55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย

56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก

57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง

58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง

59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก

60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง

61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก

62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว

63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ

64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า 'นายหลวง' ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง

66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน

67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า 'ทำราชการ'

68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี

69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า'อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก'

70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด

71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี

72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์

73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน

74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน

75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง

76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง

77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

ผู้จัดทำ : Fastnews

วันศุกร์, กรกฎาคม 25, 2551

โถ!..ที่แท้ "พ่อเมืองอุดรฯ" มีพี่ชายเป็นทาสแม้ว


“ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ”สุดทนจวกรัฐบาลหุ่นเชิดอยู่เบื้องหลังม็อบป่าเถื่อนไล่ทำร้ายพันธมิตรฯ บอกว่าพ่อเมืองอุดรที่แท้เป็นน้องชายของนาย สุขุม เลาวัณย์ศิริ อดีต ส.ส.ไทยรักไทย และขอเรียกร้องให้ลาออกภายใน 7 วัน ในเหตุการณครั้งนี้ท่านเจ้าเมืองแลดูท่านจะไม่ใส่ใจตามหาผู้กระทำความผิดมาลงโทษ มิหนำซ้ำยังปล่อยให้นักการเมืองบัดซบมาประกาศตัวเหมือนอุดรธานีเป็นประเทศหนึ่ง ทั้งที่อุดรธานีก็คือจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย ยังมีข่าวลืออีกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยให้ม็อบป่าเถื่อนเข้าไปทำร้ายพันธมิตรฯ เพื่อเป็นการสั่งสอน ถามว่ายังมีสำนึกความเป็นตำรวจอยู่หรือไม่ กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน แล้วยังปล่อยให้ม็อบป่าเถื่อนเข้าไปทุบตีคนที่ไม่มีทางสู้ได้อย่างไร ขนาดคนไปทุบสุนัขยังโดนด่าไม่มีมโนสำนึก นับประสาอะไรกับคน ตำรวจมีจิตสำนึกถึงตรงจุดนี้บ้างหรือไม่ ปกป้องประชาธิปไตย ป้องกันไม่ให้รัฐบาลหุ่นเชิดทำการรัฐประหารตัวเองเพื่อหนีความผิด นอกจากนี้ ยังฝากไปถึงตำรวจ และทหาร ให้กลับตัวกลับใจมาร่วมกับประชาชน ยังไม่สายที่จะออกมาร่วมสร้างประเทศให้เจริญก้าวหน้า อย่าให้ต่างประเทศมาดูถูก หรือว่าจะรอให้เกิดสงครามประชาชนก่อนหรือไม่


แหล่งที่มา http://www.manager.co.th/Politics


จัดทำโดย

นางสาว จิราวรรณ หมั่นคิด ID: 5131202011 สาขาวิชา เศรษฐศาสตร์
นางสาว ณัฎฐินี ธรรมวงศ์ ID:5131601057 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว อมรรัตน์ เทพวงศ์ ID:5131601209 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ณาตยา เพ็ชรรัตน์ ID:5131601072 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ฐิติมา ประสงค์ทรัพย์ ID:5131601310 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว รัชนก วัชระปิยะโสภณ ID:5131601167 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย พงศธร บวรโกศลจิต ID:5131601127 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย กฤษฏา ใจคำมา ID: 5131601234 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย กฤช จันท์แสนตอ ID : 5131601229 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ปรีชญา บุญสมบัติ ID : 5131601119 ขาวิชานิติศาสตร์

วันอังคาร, กรกฎาคม 22, 2551

กรรมสนอง!! นปช.ประท้วงจุดไฟเผาโลงไล่ ป.ป.ช. ไฟลวกตัวเองบาดเจ็บ





















นายกล้านรงค์ โฆษกของ ป.ป.ช. ออกมายำให้เห็นว่าป.ป.ช.นั้นถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย อีกทั้งยังบริสุทธิ์ใจที่จะให้ประชาชนยื่นคำร้องให้มีการตรวจสอบที่มาของ ป.ป.ช.หรือองค์กรของรัฐอื่นๆ มาตรวจสอบได้โดยไม่ขัดข้อง ซึ่งผลการวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร ก็พร้อมที่จะยอมรับทุกอย่าง

ในขณะที่กลุ่ม น.ป.ช. ที่เดินทางกันมาเพื่อเรียกร้อง ได้ทำพิธีเผาศพหน้า ป.ป.ช. แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อน้ำมันได้ไหลย้อนกลับไปเผากลุ่มผู้ชุมนุมซะเอง

อย่างนี้จะให้เรียกว่าอะไรดีน้า

ข้อมูลจาก : http://www.manager.co.th/Politics

ผู้จัดทำ : Fastnews

วันจันทร์, กรกฎาคม 21, 2551

“แม้ว-อ้อ” เหลี่ยมจัด! อ้างติดภารกิจขอเลื่อนสั่งคดีซุกหุ้นเอสซีฯ

สองสามีภรรยา “ทักษิณ-พจมาน” ยังเหลี่ยมจัด ส่งทนายความและนายประกัน ขออัยการเลื่อนสั่งฟ้องคดี ปกปิดโครงสร้างหุ้นเอสซี แอสเสท อ้างติดภารกิจสำคัญไม่สามารถมารายงานตัวได้ อัยการให้โอกาสเห็นสมควรเลื่อนการสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 16 ก.ย.เวลา 09.00 น.

วันที่ 22 ก.ค. อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ มีความเห็นสมควรให้สั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา, บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น โดยนางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ กรรมการบริษัท และนางบุษบา ดามาพงศ์ อดีตกรรมการบริษัท เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 กรณีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

แต่เมื่อถึงเวลามีเพียง นางเพ็ญโสม มารายงานตัวต่อพนักงานอัยการเพียงคนเดียว ในขณะที่ ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ได้มอบหมายให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายประกัน และนายสมหมาย กู้ทรัพย์ ทนายความ ยื่นหนังสือขอให้เลื่อนสั่งคดีออกไป เนื่องจากผู้ต้องหาทั้ง 3 ติดภารกิจสำคัญที่นัดหมายไว้แล้ว แต่ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ หรือ ป่วย แต่ไม่สามารถมารายงานตัวได้ โดยนายวงศ์สกุล เห็นว่าทางดีเอสไอ ยังไม่ส่งเอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับหุ้นในต่างประเทศ ที่อัยการได้ขอให้หามาแต่ยังไม่ได้ จึงเห็นสมควรให้เลื่อนการสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 16 ก.ย.

เลื่อนออกไปนานขนาดนี้ จะเอาเวลาไปทำอะไรเอ่ย?

ข้อมูลจาก

http://www.manager.co.th/

ผู้จัดทำ : Fastnews

แฉ! ปมดับ รับน้อง ที่แท้ถูกกระทืบ



ในคดีของ"แชมป์"ที่ถูกรุ่นพี่พาไปร่วมกิจกรรมรับน้องโดยวิธีการ “ทิ้งดิ่ง” เอาศีรษะกระแทกพื้นทำให้เลือดคั่งในสมองทำให้ถึงกับเสียชีวิต

มีข้อมูลออกมาใหม่ว่า"แชมป์"ไม่ได้เสียชีวิตโดยวิธีการ"ทิ้งดิ่ง"แต่โดนรุ่นพี่รุมกระทืบอยู่ในห้อง จนทำให้เสียชีวิต เหตุผลเพราะว่า"แชมป์"เคยเรียนที่สถาบันแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยคู่อริกับสถาบันนี้ ทำให้รุ่นพี่เกิดความแค้นจึงรุมทำร้าย

เดี๋ยวนี้นักเรียนนักศึกษามีความโหดร้ายทารุณถึงขนาดนี้กันแล้วเหรอ !

ข้อมูลจาก

สรุปประเด็นข่าวโดย www.kapook.com

ภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





จัดทำโดย

นางสาว จิราวรรณ หมั่นคิด ID:5131202011 สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์
นางสาว ณัฎฐินี ธรรมวงศ์ ID:5131601057 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว อมรรัตน์ เทพวงศ์ ID:5131601209 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ณาตยา เพ็ชรรัตน์ ID:5131601072 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ฐิติมา ประสงค์ทรัพย์ ID:5131601310 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว รัชนก วัชระปิยะโสภณ ID:5131601167 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย พงศธร บวรโกศลจิต ID:5131601127 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย กฤษฏา ใจคำมา ID: 5131601234 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย กฤช จันท์แสนตอ ID : 5131601229 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ปรีชญา บุญสมบัติ ID : 5131601119 ขาวิชานิติศาสตร์

เมียฝรั่ง ค่านิยมผู้หญิงอีสาน


หญิงไทยหรือแม้แต่เด็กๆมี"ค่านิยม"อยากเป็นเมียฝรั่งกันมากขึ้น เพราะเห็นว่าเป็นเมียฝรั่งและความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก มีทั้งรถขับ มีเงินซื้อเสื้อผ้าสวยๆแพงๆ เครื่องสำอางค์ชั้นนำต่างๆเหล่านี้ ทำให้เด็กไทยอยากเป็นเมียฝรั่งกันมากขึ้น เมื่อประมาณปี 2546 ที่ผ่านมา มีคู่สมรสหญิงไทยกับชาวต่างชาติจำนวน 19,594 คู่ จาก 19 จังหวัดภาคอีสาน โดยได้สำรวจภาคสนามจำนวน 219 ตัวอย่าง ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย ร้อยเอ็ด และบุรีรัมย์ หญิงที่แต่งงานกับชาวต่างชาติมีอายุต่ำสุด 17 ปี สูงสุด 60 ปี กลุ่มอายุระหว่าง 21-30 ปี มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 44.9 อายุระหว่าง 31-40 ปี คิดเป็นร้อยละ 39.7 อายุระหว่าง 41-50 ปี ร้อยละ 11.8 อายุระหว่าง 51-60 ปี ร้อยละ 0.7 อายุ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 0.7 อายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 2.2 รายได้ของหญิงไทยในอีสานก่อนแต่งงานอยู่ที่ 2,900-4,600 บาท/คน/เดือน แต่หลังแต่งมีรายได้สำหรับใช้จ่ายส่วนตัวมากถึง 45,000 บาท/คน/เดือน โดยคู่สมรสชาวต่างชาติของหญิงไทยในภาคอีสาน ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป ได้แก่ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งสามีชาวต่างชาติส่วนใหญ่มีหน้าที่การงานที่มั่นคงและรายได้สูง เฉลี่ยเดือนละ 120,000-200,000 บาท จากการศึกษาวิจัยหญิงไทยในภาคอีสานทั้งก่อนและหลังแต่งงานกับชาวต่างชาติ พบว่าส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เมื่อวิถีการดำรงชีวิตเปลี่ยนไปโดยกลายเป็น "บริโภคนิยม" ทำให้เกิดค่านิยมเรื่องการแต่งงานกับชาวต่างชาติในกลุ่มหญิงไทย ซึ่งจากการวิจัยของนักวิจัยหลายสถาบันก็มีทั้งผลดีและผลเสีย เมื่อ เด็กๆ รับรู้ว่าการแต่งงานกับชาวต่างชาติทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ก็อยากยกฐานะตัวเองขึ้นมาด้วยวิธีนี้เช่นกัน เพราะเขาเห็นฐานะที่ร่ำรวยขึ้น มีรถยนต์ขับ หรือนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศ ก็อาจทำให้คนรุ่นหลังคิดว่าวิธีการเช่นนี้จะทำให้ฐานะทางครอบครัวดีขึ้น แต่ในบางแง่มุมก็อาจมีข้อเสียก็ได้ แต่เขาไม่ได้รับรู้ในส่วนนั้น

ภาพข่าวจากอินเทอร์เน็ต

แหล่งที่มา: http://www.talkystory.com


จัดทำโดย
นางสาว จิราวรรณ หมั่นคิด ID:5131202011 สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์
นางสาว ณัฎฐินี ธรรมวงศ์ ID:5131601057 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว อมรรัตน์ เทพวงศ์ ID:5131601209 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ณาตยา เพ็ชรรัตน์ ID:5131601072 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ฐิติมา ประสงค์ทรัพย์ ID:5131601310 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว รัชนก วัชระปิยะโสภณ ID:5131601167 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย พงศธร บวรโกศลจิต ID:5131601127 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย กฤษฏา ใจคำมา ID: 5131601234 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย กฤช จันท์แสนตอ ID : 5131601229 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ปรีชญา บุญสมบัติ ID : 5131601119 ขาวิชานิติศาสตร์

วันอังคาร, กรกฎาคม 01, 2551

ส้มขอร้อง ... เพื่อชาติไทยของเรา




ส้มขอร้อง . . . รัฐประหารไม่ทำให้อะไรดีขึ้น ทำไมต้องส้ม ? ส้ม เกิดจากทฤษฏีของสี ระหว่าง สีเหลือง(พันธมิตร) และ สีแดง(นปก) รวมกันแล้วเป็นสีส้ม (คนกลาง) ทัศนะของคุณส้มต่อคุณเหลือง ส้ม มองว่า เหลืองเดินเกมพลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว โดยไปเปิดทางให้คุณเขียว(ทหาร) ออกมาวุ่นวายจนบ้านเมืองเกิดปัญหา ส้ม มองว่า การชุมนุมของเหลืองตอนนี้ อาจเป็นการออกบัตรเชิญให้เขียวอีกครั้ง

และเมื่อคุณเขียวออกมา ประเทศชาติก็จะกลายเป็นสีดำ สีดำ เป็นปฏิปักษ์ต่อ สิทธิเสรีภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน ไม่ว่าจะเป็น เหลือง สีแดง หรือ ส้ม ส้ม คิดยังไงกับแดง แดง เป็นคนเลือดร้อนตามสี มักเล่นเข้าทางเกมเหลืองที่จะเชิญเขียวออกมายืนเล่นท้องถนน ส้ม เชื่อว่า แนวทางของเหลืองและแดง ไม่สามารถพาสังคมออกจากความขัดแย้งได้ แต่กลับจะขัดแย้งกันลึกซึ้งขึ้นจนยากจะเยียวยา ข้อเสนอ "ส้มขอร้อง"

เราในฐานะคนที่อยู่ระหว่างเหลืองและแดง จึงมีข้อเสนอเชิงขอร้องดังต่อไปนี้ สีเหลือง มีสิทธิโดยชอบในการตรวจสอบรัฐบาล แต่ขอให้เหลืองคำนึงถึงบทเรียนครั้งก่อน อย่าได้พลั้งปากหรือแอบส่งซิกให้เขียวออกมาทำบ้านเมืองมืดมิดเป็นสีดำอีก สีแดง จะต้องหยุดการเผชิญหน้ากับเหลือง และกลับสู่ฐานที่มั่นด้วยความอดทน และพัฒนาการแสดงออกโดยต้องไม่มีพฤติกรรมนิยมใช้ความรุนแรง สีเขียว เลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยเด็ดขาด และ ห้ามออกมารัฐประหาร หรือ ขู่ว่าจะทำ ส้มเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ส้มไม่เคารพสิทธิในการแตกแยก ส้มเชื่อสนิทใจว่า สังคมไทยตอนนี้ ไม่ได้มีเพียง เหลือง แดง หรือ เขียว และหากเมื่อใดที่พวกเขา(เหลือง แดง เขียว) ได้พบว่า คนส่วนใหญ่เชื่อมั่นในแนวทางสันติวิธี เคารพเสรีภาพบนความแตกต่าง และ พวกเขา(เหลือง แดง เขียว)เป็นเพียงคนกลุ่มน้อยในสังคม เหลือง แดง และ เขียวจะได้สติ และเคารพพวกเราบ้าง



ข้อมูลจาก http://www.kapook.com/

ปล.ส้มไม่ใช่บุคคล แต่เป็นจิตสำนึกของคนไทยที่อยากเห็นความขัดแย้งยุติลง หากไม่จำเป็น กรุณาอย่าติดต่อส้ม รักทั้งเหลืองและแดง เครือข่าย "ส้มขอร้อง" som_love_everyone@hotmail.com


ข้อมูลจาก Forward mail ภาพประกอบจาก alittlecatz.wordpress.com และ community.thaiware.com


ผู้จัดทำ
นางสาว จิรารรณ หมั่นคิด ID:5131202011 สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์
นางสาว ณัฎฐินี ธรรมวงศ์ ID:5131601057 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว อมรรัตน์ เทพวงศ์ ID:5131601209 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ณาตยา เพ็ชรรัตน์ ID:5131601072 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ฐิติมา ประสงค์ทรัพย์ ID:5131601310 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว รัชนก วัชระปิยะโสภณ ID:5131601167 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย พงศธร บวรโกศลจิต ID:5131601127 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย กฤษฏา ใจคำมา ID: 5131601234 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย กฤช จันท์แสนตอ ID : 5131601229 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ปรีชญา บุญสมบัติ ID : 5131601119 ขาวิชานิติศาสตร์