วันศุกร์, สิงหาคม 29, 2551

*อำมหิตผิดมนุษย์! ตร.ตีคนแก่ สกัดห้ามเข้าสมทบพันธมิตรฯที่ทำเนียบฯ



แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นเวทีประกาศเรียกให้ผู้ชุมนุมเข้ามาในพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าพนักงานบังคับคดีเข้าปิดหมายศาล พร้อมกับนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนับร้อยนายเข้ากระจายตามประตูต่างๆ และบอกยามทุกประตูว่าถ้าไม่สามารถจะยั้งตำรวจได้ อย่าไปตีรันฟันแทง ให้ถอยออกมารวมกันที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า

แกนนำพันธมิตรฯ ยังคงผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที จัดระเบียบผู้ชุมนุม และเรียกร้องให้เข้ามาภายในทำเนียบฯ มากที่สุด อย่าอยู่กันแต่โดยรอบนอกทำเนียบฯ พร้อมทั้งบอกอีกว่า อย่าเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น เรามาต่อสู้เพื่อสถานบันที่เราเคารพและเพื่ออำนาจอธิบไตยของชาติ รวมทั้งสู้เพื่อเอาทรัพย์สินของชาติที่มันโกงกินไปกลับคืนมา เราทำหน้าที่รัฐบาล แต่รัฐบาลมันทำหน้าที่โจร เราทุกคนต้องพึ่งพาตัวเอง ไม่ต้องไปพึ่งใคร

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามที่จะแหวกเข้ามาในทำเนียบฯ พล.ต.จำลอง ขึ้นเวทีชั่วคราวฯอีกครั้ง พร้อมประกาศว่าขณะนี้เวทีพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ถูกตำรวจเข้าไปสลายแล้ว เขาสลายพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานฯ แล้ว โดยใช้แก๊สน้ำตา ตำรวจโหดเหี้ยมมาก เอาเหล็กตีเสาเต็นท์พังหมด แล้วโยนของเราทิ้งคลองหมด แม้กระทั่งโต๊ะเก้าอี้ที่ใช้ทำงาน อย่างไรก็ตาม พี่น้องไม่ต้องตกใจ เขาโหดเหี้ยมกับข้าวของ ยังไม่ได้โหดเหี้ยมกับใคร เขาคงยังรักษาวินัยของเขาที่ไม่ทำร้ายประชาชน ของเสียเสียไป เสร็จงานเมื่อไหร่ฟ้องเรียกค่าเสียหายคืนเมื่อนั้น เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำร้ายประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่งมีแต่ผู้หญิงและคนแก่ ที่บริเวณแยกลานพระบรมรูปทรงม้า ขณะที่ประชาชนเหล่านั้นเดินทางเข้ามาสมทบกับพันธมิตรฯในทำเนียบฯ แต่เจ้าหน้าที่เข้าขวางไม่ยอมให้เข้า เป็นเหตุให้มีประชาชนบาดเจ็บหลายราย

จนถึงขณะนี้ประชาชนอีกประมาณกว่า500 คนยังไม่สามารถฝ่าด่านตำรวจจากแยกพระบรมรูปทรงม้า มายังทำเนียบรัฐบาลได้ เนื่องจากกำลังตำรวจมีมากกว่า

เจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดกั้นไม่ยอมให้รถพยาบาลเข้าไปดูแลประชาชนที่บาดเจ็บจากการถูกตำรวจตีที่สะพานมัฆวานฯ

ทั้งนี้ช่างภาพเอเอสทีวี ระบุว่า ตนเห็นกับตาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ารุมตีประชาชนมือเปล่า จนกองลงไปกับพื้น และตนก็บันทึกเทปไว้ได้ทัน และเมื่อตำรวจเห็นตนถ่าย ก็รีบเข้ามาห้ามไม่ยอมให้ถ่ายภาพไว้ และเมื่อตนแสดงตัวว่าเป็นสื่อมวลชนกำลังทำหน้าที่ ตำรวจก็ยังไม่ยอมให้ถ่ายภาพ จึงเกิดการยื้อกันและตำรวจได้ใช้กระบองตีตนเอง

พันธมิตรฯประมาณ1หมื่นคน เดินทางไปล้อมกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อกดดันให้ส่งตัวคนที่ตีประชาชนจนได้รับบาดเจ็บ พร้อมให้ผู้บังคับบัญชาแสดงความรับผิดชอบ แต่เกิดปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้โยนแก๊สน้ำตาออกมาจากภายในบช.น. โดยที่ประชาชนไม่ได้เข้าไปภายในแต่อย่างใด ขณะที่ด้านนอกเจ้าหน้าที่ก็ได้ตีประชาชนด้วยกระบอง ได้รับบาดเจ็บหลายคน

แหล่งที่มา http://www.manager.co.th/Politics

จัดทำโดย FastNews

“ปลื้ม” ทำอวดรู้ แฉแผน “พันธมิตรฯ” จะทำทุกอย่างเพื่อขอนายกฯพระราชทาน



ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ "คุณปลื้ม" ห่วงความปลอดภัยของสื่อมวลชน ในการติดตามทำข่าวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ กลัวว่าแกนนำพันธมิตรฯ ไม่สามารถดูแลการ์ดของพันธมิตรฯ ได้ทั่วถึง และ เห็นด้วยกับฝ่ายพันธมิตร แต่ก็บอกว่ากลุ่มพันธมิตร ทำผิดไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

หากรัฐบาลไม่นำกฎหมายมาบังคับใช้อย่างเคร่งครัด การบริหารบ้านเมืองจะเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะกฎหมายจะหมดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วคนก็จะละเมิดกฎหมายกันได้ง่ายๆ

และยังบอกอีกว่าตัวเองสามารถเดาใจแกนนำพันธมิตรฯ ถูกแน่ ว่าจากนี้หากนายก ไม่สลายการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรฯ จะยกระดับการต่อสู้ขึ้นไปอีก คือจะเคลื่อนย้ายมวลชนออกจากทำเนียบรัฐบาลแล้วไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งจะเป็นที่ที่ รัฐบาลยอมไม่ได้แน่ อย่างไรก็ต้องสลายการชุมนุม แล้วพอถึงเวลานั้นเมื่อเกิดความรุนแรงขึ้น ทหารก็จะต้องออกมาระงับเหตุ แล้ว ดำเนินการขอนายกพระราชทาน เพื่อให้บริหารบ้านเมืองต่อไปสักระยะหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าอำนาจทางการเมือง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ หมดไปแล้วจริงๆ เมื่อนั้นจึงจะบรรลุตามจุดมุ่งหมายของกลุ่มพันธมิตรฯ

และคุณปลื้มเองก็ได้เปลี่ยนใจไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ เพราะกลัวจะสู้ผู้ว่าฯอภิรักษ์ โกษะโยธิน ไม่ได้ และทำหน้าที่ทางด้านสื่อสารมวลชนไปก่อน

แล้วตกลงว่า "คุณปลื้ม" จะอยู่ฝ่ายไหนกันแน่



แหล่งที่มา http://www.manager.co.th/Politics

จัดทำโดย :Fastnews

วันพุธ, สิงหาคม 27, 2551

ประชาชนวิตก สังคมไทยกลายเป็นเมืองเถื่อน

เอแบคโพลล์ เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน โดย 79.4% ของกลุ่มตัวอย่าง มีความกังวลว่า ความขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้ จะทำให้สังคมไทยกลายเป็นสภาพบ้านป่าเมืองเถื่อน ขณะที่ 61.3% กำลังเครียดต่อสถานการณ์การเมือง


ผลสำรวจ ยังพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 90.8% เห็นว่า ความรักความสามัคคีของคนในชาติเป็นทางออกฝ่าวิกฤตต่างๆ ของคนในชาติ และสามารถแก้ปัญหาขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ได้รองลงมา 84.6% ระบุ ให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม ขณะที่ 81.7% ต้องการให้เจรจากันด้วยสันติและ 78.8% ให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงความเสียหายต่อประเทศชาติ

ศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญทำการสำรวจเรื่อง"ทางออกฝ่าวิกฤตของประเทศไทย ในทรรศนะของสาธารณชน" กรณีศึกษาประชาชนที่ติดตามข่าวสถานการณ์การเมืองใกล้ชิดทั่วประเทศ ใน 16 จังหวัดจากกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 2,718 ตัวอย่าง รวบรวมข้อมูล ระหว่างวันที่ 26-27 ส.ค.51

การสำรวจยังพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 89.2% ยังคงเชื่อมั่นต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง แม้ประเทศจะพบกับปัญหาวิกฤตใด ๆ ก็ตาม ในขณะที่ 10.8% ไม่เชื่อมั่น

ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 56.8% ยังคงมีความหวังว่า ปัญหาขัดแย้งหรือฝันร้ายการเมืองทุกอย่างจะคลี่คลายจบลงได้ด้วยดี ส่วน 4.2% หมดความหวังต่อสถานการณ์การเมืองของประเทศ

ตั้งแต่เช้าตรู่วานนี้ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกระจายกำลังผู้ร่วมชุมนุมนับหมื่นคน ปิดล้อมประตูทางเข้าทำเนียบรัฐบาลทุกด้านพร้อมประกาศไม่ให้รัฐบาลเข้ามาประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)หรือปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ขณะเดียวกันยังได้กระจายกำลังผู้ร่วมชุมนุมไปยังสถานที่ราชการอื่นๆ เช่น สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที, กระทรวงการคลัง, กระทรวงคมนาคม, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น

ต่อมาในช่วงบ่ายวานนี้ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ นำผู้ร่วมชุมนุมนับพันคนเดินเข้าไปรวมตัวกันภายในบริเวณทำเนียบฯ

จากนั้นได้ถอนผู้ชุมนุมจากสถานที่ราชการและสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที มารวมกันที่ทำเนียบฯจนถึงขณะนี้ โดยพันธมิตรฯยืนยันเมื่อเช้านี้ว่า จะปักหลักชุมนุมอยู่ภายในบริเวณทำเนียบรัฐบาลจนกว่ารัฐบาลจะตัดสินใจลาออก

แหล่งทีมา : http://news.thaihealth.net

วันจันทร์, สิงหาคม 25, 2551

“พันธมิตรฯ” เคลื่อนทัพบุกล้อมหน่วยราชการ-ยึดเอ็นบีทีได้แล้ว


กลุ่มพันธมิตรได้เคลื่อนตัวไปตามสถานที่ต่างๆ โดยแบ่งผู้ชุมนุมออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

กลุ่ม1 ไปปิดล้อมสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที

กลุ่ม2 เดินทางไปกระทรวงคมนาคม

กลุ่ม3 เตรียมเคลื่อนตัวไปยังกระทรวงการคลัง

และกลุ่ม4 ไปล้อมหน้าทำเนียบรัฐบาลด้านถนนพิษณุโลก


ทั้งนี้กลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มแรกได้เข้ายึดสถานีโทรทัศน์ NBT ได้แล้ว


ส่วนสาเหตุ่ที่พันธมิตรฯ ต้องบุกยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีด้วย เพราะ NBT นั้นมีส่วนสำคัญในการบิดเบือนข้อมูลเพื่อปกป้องรัฐบาลและโจมตีฝ่ายตรงข้าม ไปจนถึงทำลายองค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรมของประเทศ


และที่ต้องเข้ายึดกระทรวงการคลัง และ กระทรวงคมนาคมก็เพราะ กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม นับเป็นหน่วยงานที่มีส่วนสำคัญในการใช้งบประมาณของประเทศอย่างฟุ่มเฟือนจนก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันตามมามากมาย

ล่าสุดได้บุกยึดกระทรวงการคลังได้เรียบร้อยแล้ว


ผู้จัดทำ : Fastnews

วันพุธ, สิงหาคม 20, 2551

ตร.อ้างเรื่องละเอียดอ่อน ทำคดี จักรภพ ต้องล่าช้า


โฆษก สตช. ยืนยันเรื่องจะไม่หายไปเฉยๆ เพราะเป็นที่สนใจของประชาชน แต่บอกไม่ได้การสอบสวนคดีจะเสร็จสิ้นเมื่อใด
ความคืบหน้าในการสอบสวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ของ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่ขณะนี้ถูกวิจารณ์จากบางฝ่ายว่าล่าช้า ว่า เท่าที่ทราบทาง บช.น.ได้มีการประชุมคณะกรรมการไปแล้ว เมื่อ บช.น.พิจารณาเสร็จสิ้นก็จะเสนอคณะกรรมการของ ตร.พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพราะคดีนี้ทาง ตร.เป็นผู้สั่งคดี
ตร.บอกว่าเรื่องจะไม่เงียบ แต่จะเสร็จสิ้นเมื่อใดนั้นไม่สามารถบอกได้ เพราะเป็นขั้นตอนของหน่วยงานต่างๆ ถ้าเขาพร้อมแล้วก็จะส่งข้อมูลมาที่ ตร. เรื่องของคดีบางครั้งก็บอกไม่ได้

อยากให้ลองคิดกันดูว่ามันเป็นยังไงกันแน่น่ะ คดีนี้เนี่ยะ

แหล่งที่มา http://www.giggog.com/politic


ผู้จัดทำ : Fastnews

วันอังคาร, สิงหาคม 12, 2551

“ภูวดล” อัดยับ! “แม้ว” เฉไฉป้ายสีศาล หวังกระทบชิ่งสถาบัน

ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยโดยย้ำให้เห็นถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ข้อเท็จจริง ปัญาหาสะสมที่เกิดขึ้นจากคนคนเดียว เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ การเมืองไทยได้พัฒนาในทางลบตลอดมา สังคม เศรษฐกิจ เกิดความระส่ำระส่าย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ถูกมอมเมา จากระบอบทักษิณ และที่ประเทศไทยต้องเผชิญชะตากรรมอย่างนี้ เพราะคนชั้นปกครองไม่สนใจอะไร นอกจากตัวเองและรากเหง้าของตัวเอง คนแบบนี้หรือที่จะมาปกครองประเทศ และท่านยังกล่าวอีกว่า หากการสร้างโอกาสสร้างฐานะเป็นไปด้วยความสุจริต คนในประเทศก็จะยกย่อง แต่ความร่ำรวยมั่งคั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ตั้งอยู่บนความเดือดร้อนของประเทศ ตั้งอยู่บนการฉ้อโกงฉ้อรษฎร์บังหลวงอยู่ตลอดเวลา แค่นั้นยังไม่พอ ยังเล่นลิเกหลอกประชาชนยาวนานถึง 7 ปี ประชาชนต้องทนรำเค็ญกับสิ่งที่ระบอบทักษิณได้กระทำต่อการเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้เกิดการลุกขึ้นมาสู้ของประชาชน และพันธมิตรฯ ในท้ายที่สุด และวันนี้พี่น้องประชาชนออกมาต่อต้านก็เพราะรู้ว่า ประเทศชาติกำลังทรุดโทรม ขณะเดียวกันก็ไม่รู้จะไปหวังให้รัฐบาลหรือใครมาช่วยเหลือ ประเทศนี้ถูกปิดบังซ่อนเงื่อนไปทุกจุด ประชาชนจึงต้องลุกออกมาต่อสู้เพื่อให้ได้ความถูกต้อง และเป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ แม้จะยาวนานเท่าใดก็ไม่หวั่น

http://www.manager.co.th/Politics


จัดทำโดย
นางสาว จิราวรรณ หมั่นคิด ID:5131202011 สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์
นางสาว ณัฎฐินี ธรรมวงศ์ ID:5131601057 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว อมรรัตน์ เทพวงศ์ ID:5131601209 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ณาตยา เพ็ชรรัตน์ ID:5131601072 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ฐิติมา ประสงค์ทรัพย์ ID:5131601310 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว รัชนก วัชระปิยะโสภณ ID:5131601167 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย พงศธร บวรโกศลจิต ID:5131601127 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย กฤษฏา ใจคำมา ID: 5131601234 สาขาวิชานิติศาสตร์
นาย กฤช จันท์แสนตอ ID : 5131601229 สาขาวิชานิติศาสตร์
นางสาว ปรีชญา บุญสมบัติ ID : 5131601119 ขาวิชานิติศาสตร์

วันศุกร์, สิงหาคม 01, 2551

เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้

1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.

2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์

3.พระนาม 'ภูมิพล' ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช

5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก

6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้
1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า 'H.H Bhummibol Mahidol'หมายเลขประจำตัว 449

7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า 'แม่'

8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง

9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม

10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต

11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า'บ๊อบบี้'

12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ

13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว

14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ

15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก 'การให้' โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า 'กระป๋องคนจน' เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก 'เก็บภาษี' หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า 'ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน'

17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา

18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง

19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก 'การเล่น' สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง

20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์

21.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)

22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้

23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส

24.ทรงพระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ 'แสงเทียน' จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง

25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง 'เราสู้'

26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5

27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย

28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง 'นายอินทร์' และ 'ติโต' ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ 'พระมหาชนก' ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น'กีฬาซีเกมส์') ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510

30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน

31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ 'กังหันชัยพัฒนา' เมื่อปี 2536

32. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว

33. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง

34. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

35. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า'น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารั??แรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง

36. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท

37. หลังอภิเษกสมรส ทรง'ฮันนีมูน'ที่หัวหิน

38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน

39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น

41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา

42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม

44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง

45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ

46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ

47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน

48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน

49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน

50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้

51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด

52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า 'ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ

53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา

55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย

56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก

57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง

58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง

59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก

60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง

61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก

62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว

63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ

64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า 'นายหลวง' ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง

66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน

67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า 'ทำราชการ'

68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี

69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า'อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก'

70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด

71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี

72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์

73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน

74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน

75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง

76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง

77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

ผู้จัดทำ : Fastnews